วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

จะกินไข่ให้ฉลาด...ต้องฉลาดกินไข่


คนไทยบริโภคไข่ต่อคนต่อปีต่อปีน้อยกว่าคนมาเลเซียและสิงคโปร์เพื่อนบ้าน นอกจากเพราะรายได้ที่น้อยกว่า ส่วนหนึ่งมาจากข้อมูลที่ทำให้เกิดความเชื่อมากขึ้นว่า กินไข่มากไม่ดี ทั้งที่ไข่เป็นแหล่งโปรตีนและวิตามิน นั่นคือสาเหตุว่าจะกินไข่ให้ฉลาด ต้องฉลาดรู้เสียก่อนว่าไข่ดีอย่างไรและควรกินอย่างไร

ประโยชน์ของไข่
ไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่า หาได้ง่าย และเหมาะสมสำหรับทุกเพศ ทุกวัย นอกจากไข่จะให้สารอาหารประเภทโปรตีนที่สมบูรณ์แล้ว ยังมีไขมัน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินบี 12 วิตามินเอ วิตามินดีและเลซิตินที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย

กินไข่เท่าไรดี
การปรุงอาหารประเภทไข่ก็ทำได้ง่ายและหลากหลายสารพัดเมนู แต่คนต่ละช่วงวัยควรรับประทานไข่ในริมาณต่างกัน

โดยเด็กตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปจนถึงวัยเรียนกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง ส่วนผู้ใหญ่ที่มีภาวะโภชนาการปกติควรกินไข่ 3-5 ฟองต่อสัปดาห์ และหากเป็นกลุ่มที่มีโคเลสเตอรอลสูง อาจกินได้สัปดาห์ละ 1-2 ฟอง หรือกินแต่ไข่ขาว หรือตามคำแนะนำของแพทย์

ทั้งนี้แพทย์ยืนยันว่า การกินไข่อย่างฉลาดเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่มีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ไม่เป็นการเพิ่มสารอาหารที่ก่อให้เกิดโรคทางโภชนาการนั้น

ผู้บริโภคควรกินไข่ควบคู่กับอาหารที่หลากหลายในแต่ละมื้อ โดยให้มีอาหารประเภทแป้ง ธัญพืช เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยกากใยอาหารที่ได้รับจากการกินผักและผลไม้จะช่วยดูดซับไขมันบางส่วนที่อยู่ในอาหารออกจากร่างกาย ทำให้ไม่เกิดการสะสมที่อาจส่งผลทำให้เกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือดตามมาด้วย

ที่สำคัญ จำไว้ว่าการหลีกเลี่ยงโคเลสเตอรอลสูงไม่ได้อยู่ที่การลดหรืองดกินไข่ แต่ผู้บริโภคต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดไขมันส่วนเกินและควบคุมระดับโคเลสเตอรอลให้เป็นปกติ และยังไม่มีงานวิจัยชิ้นใดที่ระบุว่าไข่ คือสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด

ไข่จึงเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายตั้งแต่วัยทารกจนถึงผู้สูงอายุ เพียงแต่เราต้องรู้จักกินให้เป็นก็จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายเช่นเดียวกับอาหารชนิดอื่นๆ คือ ข้าว ปลา เนื้อหมู ผัก ผลไม้ ถ้ากินไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม มากไปหรือน้อยไป ก็เกิดผลเสียต่อร่างกายเหมือนกัน

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

หญ้าหวานใช่แทนน้ำตาลไม่ทำให้อ้วน


หญ้าหวาน คือสมุนไพรชนิดหนึ่ง เป็นพืชล้มลุกมีลักษณะคล้ายต้นใบกะเพรา ใบสมุนไพรหญ้าหวานมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเฉกเช่นเดียวกับในใบชาเขียวแต่มีมากกว่าคือรสหวานจัด ตัวใบจะให้รสหวานกว่าน้ำตาล 15-20 เท่า แต่เมื่อนำใบมาสกัดจะให้ความหวานสูงถึง 250 เท่าของน้ำตาลทรายแต่ไม่ให้พลังงาน จึงเป็นที่นิยมในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีที่ผู้คนนิยมบริโภคแต่อาหารที่ดีต่อสุขภาพ จึงมีการนำสารสกัดจากสมุนไพรหญ้าหวานมาใช้แทนน้ำตาลหรือทดแทนน้ำตาลบางส่วนมากว่า 35 ปีแล้วทั้งในอาหารและเครื่องดื่มได้แก่ น้ำชาเขียว น้ำอัดลม ขนมเบเกอรี่ ไอศกรีม แยม เยลลี่ ซอสปรุงรส ลูกอม หมากฝรั่ง และอื่นๆ

แต่น่าเสียดายที่คนไทยไร้โอกาสกับหญ้าหวาน. ไม่มีหน่วยงานใดมาส่งเสริมทั้งๆ ที่ อเมริกา ญี่ปุ่นก็ใช้หญ้าหวานให้ความหวาน แต่คนไทยกลับใช้น้ำตาลเทียมหรือสารหวานสังเคราะห์ยี่ห้อดังๆ ทั้งที่ต่างประเทศเค้าก็เลิกใช้กันแล้ว. แม้ไม่มีงานวิจัยสนับสนุนในเรื่องหญ้าหวานมาก. แต่ความหวานจากธรรมชาติก็น่าจะปลอดภัยกว่าความหวานทางเคมีสังเคราะห์ ในหญ้าหวานมีสารกลัยโคซัยด์(glycoside) 88 ชนิด สารสำคัญคือ Rcbaudiosides A,B,C,D,E ; Dulcoside A และ Steviosides สาร Steviosides ซึ่งเป็นสารให้ความหวานคล้ายคลึงกับน้ำตาลทรายมาก โดยปริมาณสูงสุดในหญ้าหวานทั่วไปและเป็นสารที่มีรสหวานจัดจะมีความหวาน ประมาณ 300 เท่าของน้ำตาลซูโครส

ประเทศไทย ได้มีการนำหญ้าหวานมาทดลองปลูกในเมืองไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 โชคดีที่ต้นหญ้าหวานเจริญงอกงามดีในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศซึ่งมีความเหมาะสมมาก อากาศเย็น การปลูกหญ้าหวานให้ผลผลิตสารรสหวานสตีวิโอไซต์ได้ดีมาก ขึงเผยแพร่การปลูกกันมากที่ภาคเหนือเท่านั้น ใบของมันนำมาตากแห้งและชงทำเป็นชาหรือเครื่องดื่มสมุนไพรและอาจนำมาผสมเครื่องดื่มรสหวานทั่วไป. คนไทยกินหญ้าหวาน 2 แบบ แบบสมุนไพรที่มีการนำใบหญ้าหวานผสมกับสมุนไพรอื่นๆ เพื่อเพิ่มรสหวานในชาสมุนไพรหรือยาชงสมุนไพร และแทนน้ำตาลในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน

หญ้าหวานและสารสกัดสตีวิโอไซด์ ไม่ให้พลังงานสะสมแก่ร่างกาย ไม่ทำให้อ้วนและไม่กลายเป็นสารไขมัน ไม่มีผลกระทบทางชีวภาพต่อหนูทดลอง. แม้จะให้สัตว์กินในปริมาณที่สูงมาก็ไม่มีความเป็นพิษทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรังต่อสัตว์ทดลอง ทางระบาดวิทยายังไม่เคยมีรายงานการป่วยหรือสุขภาพไม่สบายที่เกิดจากการบริโภคหญ้าหวานเป็นประจำแต่ประการใด ในทางตรงกันข้าม แพทย์ผู้ใช้หลายคนยอมรับว่าหญ้าหวานได้ช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยแก่ผู้ที่ต้องงดหรือหลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำตาลซึ่งแสลงต่อโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคไขมันเกินในเส้นเลือดได้ เพราะการรับสารความหวานจากหญ้าหวานในรูปแบบของชา หรือผสมเครื่องดื่มทดแทนการบริโภคน้ำตาลทราย จะไม่ส่งผลต่อการเกิดสภาวะความรุนแรงของโรคเบาหวาน












ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://www.yawangreensweet.com/customize_0_27761_TH.html3

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เครื่องแกง...สูตรยาจากก้นครัว


เครื่องเทศและสมุนไพรนอกจากทำให้อาหารไทยมีชื่อเสียงและรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ยังมีสรรพคุณทางยาที่แฝงตัวอยู่ ทำให้อาหารไทยมีคุณสมบัติและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเพิ่มขึ้นอีก มิหนำซ้ำเครื่องแกงของไทยเราที่ผสมพืชหรือสมุนไพรมากมายรวมกันนั้น ถ้าหากนำสรรพคุณของพืชสมุนไพรแต่ละชนิดที่ผสมอยู่มาแยกคุณสมบัติทางยา ก็จะเห็นว่าบรรพบุรุษของเราลึกล้ำยิ่งหนัก เพราะปรุงยาเป็นสูตรอาหารให้สืบทอดกันมาเนิ่นนาน เป็นประโยชน์ที่ช่วยรักษาสุขภาพของเรามานานแสนนาน

ลองมาแยกสูตรกันดูดีกว่าว่า ส่วนประกอบของเครื่องแกงแต่ละตัวมีคุณสมบัติอะไรกันบ้าง
เครื่องแกงต้องมีกระเทียม กระเทียมมีสรรพคุณละลายไขมันที่จะไปอุดตันในเส้นเลือด พริกแกงส่วนใหญ่ถูกปรุงในกะทิและเนื้อสัตว์ ใส่กระเทียมเข้าไปก็แก้กันได้พอดี
กระเทียมอย่าเดียวมีฤทธิ์ไม่พอ ต้องใส่มะเขือเปราะลงไปด้วย คนที่ไม่ชอบกินมะเขือเปราะและเคยสงสัยว่าจะต้องใส่ทำไม ขอให้รู้ไว้เถิดว่ามะเขือเปราะช่วยลดโคเรสเตอรอล
ถ้าบางคนเผลอกินแกงปริมาณมากอาจจะท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะอาหารย่อยไม่ทัน แต่ไม่ต้องห่วง เพราะในเครื่องแกง มีทั้งกระชาย กะเพรา ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พืชเหล่านี้เป็นสมุนไพรทีช่วยบรรเทาอาการทรมานที่เกิดขึ้นในช่องท้องได้อย่างดี
ถ้าอาหารไม่ย่อย ท้องผูกเพราะหนักเนื้อ มะขามเปียกของเครื่องแกงส้ม ต้มโคล้ง ก็มีฤทธิ์เป็นยาระบายช่วยได้
คนที่เป็นหวัดยิ่งดีใหญ่ เพราะหอมแดงที่ผสมในเครื่องแกง มีฤทธิ์ช่วยลดอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล ถ้าไหนหนำใจ ใช้น้ำมะนาวช่วยอีกแรงก็บรรเทาอาหารเจ็บคอได้ด้วย
ส่วนพริกขี้หนู ตัวเด็ดในเครื่องแกง สาว ๆ ทั้งหลายที่ชอบทานเผ็ดอาจจะไม่รู้ตัวว่ากำลังเสริมสวยให้ผิว เพราะพริกช่วยทำให้ผิวพรรณสวยงาม เพราะไปขับลมขับเหงื่อ ทำให้รูขุมขนสะอาด ทั้งยังมีสารต้านมะเร็งด้วย

เห็นคุณประโยชน์อย่างนี้แล้ว สาว ๆ น่าจะลองหันกลับเข้าครัวดูบ้าง เพราะยาดีที่แท้ล้วนอยู่ก้นครัวเรานี่เอง

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561

งาดำ ธัญพืชที่เป็นที่นิยมของคนรักสุขภาพ


งาดำ ธัญพืชที่เป็นที่นิยมของคนรักสุขภาพในปัจจุบัน งานั้นเป็นพืชล้มลุก ผลเป็นฝัก มีเมล็ดเล็ก ๆ สีขาวหรือสีดำ สามารถเป็นอาหาร เครื่องเทศ และทำน้ำมันได้ งาดำมีคุณค่าทางอาหารและความงามในด้านคุณค่าทางสารอาหาร เพราะมีทั้งโปรตีนกรดอะมิโน แร่ธาตุ และวิตามินที่สำคัญ ๆ มากมาย

คุณค่าทางอาหารของ งาดำ
น้ำมันงา มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ทั้งกรดไขมันโอเมก้า3 กรดไขมันโอเมก้า6 ที่มีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอล จึงช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้ระบบหัวใจแข็งแรงรวมทั้งช่วยเยียวยาในโรคข้อเสื่อมได้เช่นกันงายังมีแคลเซียมที่มีมากกว่านมวัวถึง 6 เท่า มีธาตุเหล็กแมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และทองแดง และยังมากด้วยวิตามินบีชนิดต่าง ๆ ซึ่งดีต่อระบบประสาทช่วยทำให้นอนหลับ ร่างกายกระฉับกระเฉง มีสารบำรุงประสาท และวิตามินอีเป็นตัวแอนติออกซิแดนต์ต้านมะเร็ง

นอกจานี้ในเรื่องความงาม งาดำเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อการชะลอความแก่เพิ่มความอ่อนเยาว์ให้กับผิวได้อย่างน่าทึ่ง เพราะมันมีสารอาหารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมากวิตามินเอ บีรวม ช่วยดูแลเรื่องผิวพรรณวิตามินซี ช่วยสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของชั้นผิวหนังแท้ และวิตามินอีในงาดำยังช่วยซ่อมแซมผิวและยังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิว

รับประทาน งาดำ
งาดำ เป็นธัญพืชสารพัดประโยชน์ ช่วยบำรุงหลายส่วนของร่างกาย ทั้งผม ผิวพรรณ เล็บ กระดูก เพิ่มแคลเซียม ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ บำรุงหัวใจให้แข็งแรง มีกรดไขมันดีมาก มีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายหลายชนิด แม้คนที่ยังเด็กหรือไม่มีอาการป่วย ก็ควรรับประทานเป็นประจำเพื่อสร้างต้นทุนทางสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายตัวเอง และสำหรับผู้หญิงที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยทอง งาดำจำเป็นมาก เพราะจะช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้ผลเนื่องจากมีแคลเซียมสูง

การรับประทานงาดำ ควรทานเป็นอาหาร จะดีกว่าการทานเป็นสารสกัด ก่อนรับประทานควรนำมาคั่วให้โดนความร้อนสักนิด ควรคั่วไว้ใช้กะให้ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ แบ่งออกมาคั่วและเก็บไว้ในขวดโหลที่แห้ง เมื่อหมดแล้วค่อยคั่วใหม่ เพื่อให้ได้รับประทานงาคั่วใหม่ๆ หอมๆ ทุกสัปดาห์ เวลาเลือกซื้อควรเลือกซื้อยี่ห้อที่ดีสักหน่อย มีการบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่มิดชิดเรียบร้อย ไม่ควรซื้อที่แบ่งขายตามร้านของของชำ เพราะอาจเสียงกับมูลแมลงสาปหรือแมงอื่นๆ จากการเก่าเก็บภายในร้าน และไม่ควรซื้อแบบที่บดสำเร็จแล้วเนื่องจากอาจมีเชื้อราอะฟลาทอกซินติดมาด้วย

ไม่แนะนำให้รับประทานงาดำโดยโรยในข้าวหรือใส่กับเครื่องดื่ม เพราะวิธีการรับประทานงาดำที่ดีที่สุดคือการเคี้ยว หากเราโรยข้าวหรือใส่เครื่องดื่ม บางครั้งไม่ได้เคี้ยว ร่างกายอาจจะดูดซึมไม่ได้เต็มที่ เข้าไปอย่างไรก็ออกมาอย่างนั้น ดังนั้นต้องเคี้ยว ปกติก็รับประทานอยู่ ใส่กับขนมปังโฮลวีตทุกเช้า วันละ 10 ช้อน แต่ถ้าเป็นวัยรุ่น วันทำงาน ก็อาจจะไม่ต้องมากขนาดนี้ อาจจะประมาณวันละ 3-4 ช้อน หรือเดี๋ยวนี้เห็นเขาทำน้ำเต้าหู้งาดำขาย อันนั้นก็รับประทานได้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นวัยสูงอายุหน่อยหรือเข้าสู่วัยทองก็เพิ่มปริมาณให้มากหน่อย คือ อาจจะ 6-9 ช้อนก็ได้

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ข้าวโพดสีม่วง หวาน หอม สวยมีประโยชน์


ธัญพืชมากคุณค่าอย่างข้าวโพดนี้ หลาย ๆ ท่านคงคุ้นเคยกับข้าวโพดสีเหลือง สีขาวทั่วๆ ไปกันอยู่แล้วนะคะแต่วันนี้จะเอาข้าวโพดพันธุ์สีม่วงสวยเหมือนพลอยสวยนี้มานำเสนอกัน

ต้นกำเนิดของข้าวโพดสีม่วงนี้ เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดตรัง ประสบความสำเร็จในการพัฒนาและปลูกข้าวโพดเหนียวพันธุ์แฟนซีสีม่วง 111 และพันธุ์สีขาวม่วง 212 ซึ่งมีคุณสมบัติเยี่ยมด้านการต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดโอกาสการเกิดโรคร้ายอื่น ๆ ได้อีกมากมาย ในปัจจุบันทางศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดตรัง กำลังแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดนี้ให้แก่เกษตรกรไปปลูกต่อๆ ไป และคาดว่าจะมีผู้บริโภคให้ความสนใจกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และคาดว่ากำลังจะเป็นที่นิยมมากขึ้นในอนาคตด้วยค่ะ

ข้าวโพดสีม่วงนี้มีรสชาติอร่อย เหนียวนุ่ม ไม่ติดฟัน แถมมีกลิ่นหอม แล้วก็มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก ข้าวโพดสีม่วงพันธุ์ข้าวเหนียวนี้ มีสารแอนโทไซยานินส์ (Anthocyanins) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีหลายเท่า มีประสิทธิภาพสูงในการช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ เสริมให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรคและสมานแผล เสริมการทำงานของเม็ดเลือดแดง ชะลอการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยในการเสริมสร้าง ให้ร่างกาย ต่อต้านเชื้อโรค และช่วยในการสมานแผล และยังมีสารช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็ง ต่างๆ เช่น ชนิดเนื้องอกได้อีกด้วย

โดยที่สารแอนโทไซยานินส์นั้นเป็นสารที่พบในพืชทั้งในดอกและในผลของพืช ที่ให้สีแดง น้ำเงิน หรือม่วง เช่น ดอกอัญชัญ กะหล่ำม่วง องุ่นแดง ชมพู่ม่าเหมี่ยว ฯลฯ เป็นสารที่ละลายในน้ำได้ดี มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ยับยั้งการเกิดออกซิเดชันของลิโปโปรตีน และการตกตะกอนของเกล็ดเลือด ทำให้ แอนโทไซยานินมีบทบาทในการป้องการการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน

ได้ทราบดังนี้แล้วนะคะ คุณ ๆ ลองหาข้าวโพดสีพันธุ์สีม่วง หรือพันธุ์สีม่วงขาวมาลองรับประทานดู เป็นการสนับสนุนเกษตรกรที่พัฒนาสายพันธุ์ขึ้นด้วยประการหนึ่ง และเรายังได้รับประโยชน์จากข้าวโพดชนิดนี้ไปด้วยเต็ม ๆ นะคะ ไม่ต้องกลัวสีม่วงเข้มของข้าวโพดสายพันธุ์นี้นะคะเพราะเป็นสีที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติค่ะ เหมาะสำหรับคนที่ห่วงใยสุขภาพเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากข้าวโพดพันธุ์สีม่วงจะมีคุณค่าทางอาหารดังที่กล่าวมาแล้ว ยังช่วงชะลอความชราด้วยค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2561

เปรี้ยว ปรี๊!!!! กระเจี๊ยบแดง


กระเจี๊ยบแดงเป็น ไม้ล้มลุก มีความสูง 1-2 เมตร เป็นพืชอายุค่อยข้างสั้น ลำต้นมีสีม่วงแดง ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว ขอบใบหยักเว้าลึก ออกเรียงสลับกัน ดอกกระเจี๊ยบ มีแดง กลีบเลี้ยงจะห่อหุ้มเมล็ดข้างในเอาไว้ ดอกกระเจี๊ยบมีรสชาติ เปรี้ยว

คุณค่าทางอาหารและโภชนาการ

ในกระเจี๊ยบแดงนั้น มีส่วนประกอบของสารเคมี หลายชนิด เช่น Hibiscetin,Protocatechuic acid, Hibicin, organic acid, malvin, gossypetinนอกจากนี้ยังมีวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบีและสาร Anthocyanin ในกระเจี๊ยบยังสามารถเป็นส่วนผสมในการแต่งสีสรรอาหารโดยไม่เป็นอัตรายต่อผู้บริโภค

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรและการรักษา

กลีบเลี้ยงของดอก
กลีบเลี้ยงของดอกกระเจี๊ยบหากน้ำไปต้มกับน้ำจะมีสรรพคุณ ในการขับปัสสาวะ เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยรักษาและลดระดับไขมันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิต ลดความเหนียวข้นของเลือด ช่วยให้เล้นเลือดแข็งแรง

วิธีการปรุงเป็นยา
เริ่มจากการตัดเอาเฉพาะกลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดง แล้วนำไปตากให้แห้งสนิท บดให้ละเอียด ชงกับน้ำเดือด โดยอัตราส่วน กระเจี๊ยบผง 1 ช้อนชา ชงกับน้ำเดือด 1 แก้ว จะได้น้ำสีแดงสด รับประทานวันละ สาม ครั้งติดต่อกันหรือจนกว่าอาการจะทุเลาลง

ใบ ใบของกระเจี๊ยบแดง มีรสชาติเปรี้ยว มีสรพคุณ ในการแก้โรคพญาธิตัวจิ๊ด ขับเสมหะ แก้ไอ และขับเมือกในลำคอสู่ลำไส้ใหญ่

ดอก มีสรรพคุณ ในกาารบรรเทาโรคนิ่ว โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ และละลายไขมันในเส้นเลือด ผล มีสรรพคุณ รักษาแผลในกระเพรา แก้กระหาย

เมล็ด มีสรรพคุณ ในทางการบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้อาการอ่อนเพลีย และยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการปรุงยาตำรับอื่นๆ

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

“หอมหัวใหญ่” ยาครอบจักรวาลประจำบ้าน


หอมหัวใหญ่” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “หอมใหญ่” สมุนไพรไทยของเรานั้นมีอยู่มากมายเลยค่ะ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งพืชผักสมุนไพรที่หลายๆคนมองข้ามด้วยความไม่รู้คุณค่าอันมหาศาล แถมยังเขี่ยทิ้งจากจานเสมอๆ แถมคนรุ่นใหม่มักไม่รู้และไม่เห็นถึงคุณค่าของมัน ซึ่งมีการปลูกมาตั้งแต่ยุคโบราณในอียิปต์ กรีก โรมัน และจีน ปัจจุบันหอมใหญ่จัดเป็นผักสำคัญลำดับที่ 6 ของโลก

หลายๆคนอาจไม่รู้ว่าหอมใหญ่นั้นไม่ใช่แค่ผักธรรมดาที่ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ และไม่ได้ใหญ่แต่ชื่อและขนาด แต่สรรพคุณยังยิ่งใหญ่ด้วย เพราะช่วยป้องกันและรักษาโรคสำคัญๆ ได้หลายโรค ทั้งแพทย์และนักวิชาการได้ทำการวิเคราะห์หาสาระสำคัญในหัวหอม พบว่าอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารประกอบที่จำเป็นต่อร่างกายกว่า 300 ชนิด อาทิ แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน ซีลีเนียม เบตาแคโรทีน กรดโฟลิก เควอซิทินฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ เพคติน กลูโคคินิน ฯลฯ

โดยแคลเซียมดังกล่าวนั้นจะสังเคราะห์เอนไซม์ที่ ที – เซลล์ (T-cells) มาใช้ในการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมและช่วยเม็ดเลือดขาวในการทำลายและย่อยสลายไวรัส ธาตุแมกนีเซียมจะช่วยทำลายเซลล์มะเร็งและกำจัดไวรัส ธาตุกำมะถันช่วยให้เอนไซม์ตับทำงานขับสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ส่วนสารเควอซิทินเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ให้ฤทธิ์ในการป้องกันการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ป้องกันอาการแพ้ ขับสารพิษ ป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดและปกป้องหลอดเลือดเลี้ยงสมองอุดตัน และลดการเป็นพิษต่อเซลล์ไขมันในเลือดชนิดเลว (LDL)

และนอกจากนี้ หอมใหญ่ยังมีสารไซโคลอัลลิอินที่สามารถละลายลิ่มเลือด ช่วยในการลดโคเลสเตอรอลและความดันเลือด รวมทั้งสารฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันไขมันไม่ให้เกาะตามผนังเส้นเลือด เพราะหากเกาะมากๆ จะเกิดภาวะเส้นโลหิตอุดตัน ทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ และสารอัลลิลโพรพิลไดซัลไฟด์ ที่ช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด รวมถึงสารอัลลิลิกไดซัลไฟด์ ที่ช่วยขับปัสสาวะ ขับเสมหะ

จากผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล สหรัฐอเมริกา พบว่า หอมหัวใหญ่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งตับและลำไส้ได้ เพราะในหัวหอมจะมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์สูงมาก จึงช่วยป้องกันและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้


ซึ่งดร.วิคเตอร์ เกอร์วิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจในสหรัฐอเมริกา บอกไว้ว่า หัวหอมสดถือเป็นยาชั้นเลิศในการเพิ่มไขมันในเลือดชนิดดี (HDL) แค่หอมหัวใหญ่ครึ่งหัวจะช่วยเพิ่ม HDL ได้ถึงร้อยละ 30 ในคนที่เป็นโรคหัวใจ หรือมีปัญหาโคเลสเตอรอล

ส่วนผลการวิจัยในวารสารวิชาการชื่อดัง “Nature” ระบุ ว่า หอมหัวใหญ่ป้องกันกระดูกพรุนได้ผลดีกว่าแคลซิโทนิน ซึ่งเป็นยารักษาโรคกระดูกพรุนโดยเฉพาะ โดยสรรพคุณของหอมใหญ่จากการทดลองในหนู ผลของการทดลองเกิดได้ภายใน 12 ชม. เช่นนั้นนักวิจัยจึงลงความเห็นว่า สำหรับคนเราอาจต้องกินหอมใหญ่วันละ 200-300 กรัม จึงจะได้ผลในการป้องกัน กระดูกพรุน

ซึ่งกล่าวโดยสรุปแล้วรับประทานหอมใหญ่นั้นจะช่วยทำให้เจริญอาหาร แก้หวัด คัดจมูก แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องร่วง ธาตุไม่ปกติ ช่วยขับปัสสาวะ ลดไขมันในเส้นเลือด แก้ความดันโลหิตสูง ป้องกันโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ ขับพยาธิ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดโคเลสเตอรอล ในเลือด แก้ภูมิแพ้หอบหืด เบาหวาน ฆ่าเชื้อโรค ช่วยขจัดสารตะกั่วและโลหะหนักที่ปนเปื้อนมากับอาหารแล้วสะสมอยู่ในร่างกาย ฯลฯ และยังช่วยให้ผู้ที่รับประทานเป็นประจำ มีความจำดีขึ้นด้วย แต่ต้องรับประทานแบบสดๆทุกวัน (ทานร่วมกับอาหารอื่นๆ ก็ได้) แค่วันละครึ่งถึง 1 หัว อย่างน้อย 2 เดือนจึงจะเห็นผล โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเบาหวานและโคเลสเตอรอลสูง

แต่อย่ารับประทานในขณะที่ท้องว่างเด็ดขาดค่ะ เพราะอาจจะทำให้เยื่อบุกระเพาะระคายเคืองหรืออักเสบได้ และหากผู้ที่มีกลิ่นตัวอยู่แล้ว หากรับประทานมากเกินไป ก็จะส่งผลให้เกิดกลิ่นตัวแรงยิ่งขึ้น

ไม่เพียงแต่การรับประทานหอมใหญ่แล้วมีประโยชน์สูง แต่สารในหอมใหญ่ยังสามารถสกัดมาผสมในเครื่องสำอางได้ เช่น แชมพูสระผม ยาบำรุงเส้นผม เพราะมีสาร เช่น ไกลโคไซด์ เพคติน กลูโคคินิน ที่ช่วยในการขจัดรังแค ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราต่างๆ และน้ำคั้นจากหัวหอมยังนำมาใช้เป็นยาทาภายนอก เพื่อลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แก้พิษแมลงกัดต่อย อาการปวดบวมตามข้อ รักษาผิวหนังที่ถูกน้ำร้อนลวกได้อีกด้วย

จะกินไข่ให้ฉลาด...ต้องฉลาดกินไข่

คนไทย บริโภค ไข่ ต่อคนต่อปีต่อปีน้อยกว่าคนมาเลเซียและสิงคโปร์เพื่อนบ้าน นอกจากเพราะรายได้ที่น้อยกว่า ส่วนหนึ่งมาจากข้อมูลที่ทำให้เกิดความเ...