วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

แปะก๊วย สมุนไพรจีนที่ทรงคุณค่า


ถ้าจะให้ไล่ชื่อของสมุนไพรจีนที่ดีมีคุณค่าช่วยในการบำรุงสุขภาพ แน่นอนเลยล่ะว่านึกกันไม่หวาดไม่ไหวแน่ แต่ถ้าพูดถึงสมุนไพรจีนที่ช่วยบำรุงสมอง หลายคนคงนึกถึง"แปะก๊วย" เพราะเคยได้ยินคำโฆษณา หรืองานวิจัยที่บอกถึงสรรพคุณเด่นข้อนี้ แต่ความจริงแล้ว แปะก๊วย มีส่วนช่วยบำรุงสมองจริงหรือ และมีสรรพคุณอื่น ๆ อะไรบ้าง ลองมาดูข้อมูลที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากกันค่ะ

แปะก๊วย หรือที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Ginkgo biloba เป็นสมุนไพรที่มีมาตั้งแต่โบราณ ว่ากันว่าเป็นพืชโบราณที่มีความเป็นมาตั้งแต่ 270 ล้านปีก่อน โดยเจ้าสมุนไพรชนิดนี้มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน และถูกนำมาใช้ในแพทย์แผนจีนติดต่อกันมายาวนานกว่า 5,000 ปี ในอดีต แพทย์แผนจีนจะนิยมนำแปะก๊วยมาใช้ในการบำบัดอาการไอ หืด และภาวะภูมิแพ้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วส่วนที่นิยมนำมาสกัดหรือใช้ในการรักษาโรคมากที่สุดคือส่วนของใบ แต่คนก็นิยมนำเมล็ดของแปะก๊วยมาเป็นส่วนประกอบในอาหารต่าง ๆ มากมาย เช่น ขนมหวาน หรือบะจ่าง


แปะก๊วย สรรพคุณล้ำเลิศ ประโยชน์ดี ๆ ทั้งในเมล็ดและใบ

ด้วยสรรพคุณและประโยชน์อันมากมายที่มีอยู่ในตัวของเมล็ดแปะก๊วย และใบแปะก๊วย จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นแปะก๊วยถูกแปลงร่างมาเป็นทั้งของกินและอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ แต่ว่าสรรพคุณของแปะก๊วยที่โดดเด่นมีอะไรบ้าง ลองไปดูกันเลยค่ะ

ลดระดับคอเลสเตอรอล

เมล็ดแปะก๊วยมีสรรพคุณในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรล โดยการศึกษาในปี 2008 จาก Food Research International พบว่าไขมันที่สามารถละลายน้ำได้ที่อยู่ในเมล็ดแปะก๊วย มีส่วนสำคัญในการลดระดับคอเลสเตอรอลในตับ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในการป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจได้อีกด้วย

ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง

เมล็ดแปะก๊วยเป็นแหล่งสะสมของสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อร่างกาย ป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ในร่างกายจากสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเกือบทุกชนิด ถึงแม้ว่าจะนำเมล็ดแปะก๊วยไปปรุงจนสุกแล้วก็ยังคงมีสารต้านอนุมูลอิสระเหลืออยู่ถึง 60% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับอาหารชนิดอื่น ๆ ค่ะ


มีวิตามินและแร่ธาตุสูง

เราสามารถพบวิตามินบีชนิดต่าง ๆ อย่างเช่น ริโบฟลาวิน ไนอะซิน ไทอามีน กรดแพนโทเทนิก โฟเลตและวิตามินบี 6 ซึ่งเป็นวิตามินบีที่ดีต่อร่างกายได้ในเมล็ดแปะก๊วย นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุดี ๆ อย่าง แมงกานีส โพแทสเซียม แคลเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี และเซเรเนียมสะสมอยู่ในเมล็ดแปะก๊วยอีกไม่น้อยเลย โดยเฉพาะทองแดงที่เป็นแร่ธาตุอันมีความสำคัญต่อสารสื่อประสาท และระบบเผาผลาญ รวมทั้งเป็นส่วนประกอบในเม็ดเลือดแดง

แคลอรีต่ำ

เมื่อเทียบกับวอลนัทและอัลมอนด์แล้ว เมล็ดแปะก๊วยถือเป็นอาหารที่มีแคลอรีไม่สูงมากนั้น เพราะเมล็ดแปะก๊วย 100 กรัม มีปริมาณแคลอรีอยู่ที่ 182 กิโลแคลอรี ทำให้สามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องกลัวอ้วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามการรับประทานมากไปอาจจะส่งผลไม่พึงประสงค์ได้

รักษาโรคซึมเศร้า

มีการศึกษาพบว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะมีสภาวะอารมณ์ที่ดีขึ้นเมื่อรับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดจากใบแปะก๊วย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งก็มีจิตแพทย์จำนวนไม่น้อยที่แนะนำให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ารับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยร่วมกับการรับประทานยาเพื่อรักษาอาการ แต่สารสกัดนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าหากใช้กับผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปี จะให้ผลดีเทียบเท่ากับผู้ป่วยในวัยสูงอายุหรือไม่


เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ

ในรายที่มีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ การรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยสามารถช่วยได้ เพราะ สารสกัดนี้จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น แก้ไขปัญหาเลือดไปไหลเวียนในบริเวณอวัยวะเพศไม่สะดวก โดยจากการศึกษาหนึ่งพบว่าการรับประทานสารสกัดจากแปะก๊วยเป็นประจำติดต่อกัน 6 เดือน ช่วยให้อาการดีขึ้นมากถึง 50%

บรรเทาอาการเบาหวานขึ้นตา

สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน อาการเบาหวานขึ้นตาสามารถส่งผลให้การมองเห็นแย่ลง เนื่องจากน้ำตาลในเลือดนั้นจะเข้าไปทำลายหลอดเลือดภายในดวงตา ซึ่งการรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยจะช่วยให้การมองเห็นสีสันของผู้ป่วยเบาหวานดีขึ้นค่ะ

บรรเทาอาการของโรคพาร์กินสัน

ภาวะการขาดฮอร์โมนโดปามีน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการสั่นและการสูญเสียความสามารถในการควบคุมกล้ามเนื้ออันเนื่องมาจากโรคพาร์กินสันแต่สารสกัดจากแปะก๊วยนั้นจะเข้าไปช่วยเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดในสมอง ทำให้ร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนโดปามีนได้มากขึ้น และนำส่งไปยังอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายได้อย่างเพียงพอ


รักษาอาการก่อนมีประจำเดือนของผู้หญิง

กลุ่มอาการ PMS หรืออาการก่อนมีประจำเดือนเป็นอาการที่สาว ๆ เท่านั้นที่รู้ดีที่สุด โดยสารสกัดจากแปะก๊วยนั้นสามารถบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก และคัดเต้านมที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือนได้ นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการอื่น ๆ ที่เกิดจากภาวะความแปรปรวนของฮอร์โมนในร่างกายช่วงก่อนมีประจำเดือนได้ด้วย

นอกจากนี้ในแพทย์แผนจีนยังมีการนำเมล็ดแปะก๊วยมาใช้ เพราะเชื่อว่าเมล็ดแปะก๊วยมีฤทธิ์ร้อนช่วยในการบรรเทาปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ สามารถช่วยรักษาโรคหอบหืด หลอดลมอักเสบ และโรคระบบทางเดินปัสสาวะ แต่ทั้งนี้ก็ต้องใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะการใช้ในปริมาณมากนั้นอาจะได้รับผลเสียที่อันตรายแทนได้ค่ะ

ข้อควรระวังในการใช้แปะก๊วย

แม้จะช่วยบำรุงสมอง แต่ก็ใช่ว่าแปะก๊วยจะมีแต่ประโยชน์ เพราะแปะก๊วยนี้ถือเป็นยาอันตรายชนิดหนึ่ง ในบางประเทศถึงกับต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ถึงจะสามารถซื้อหามารับประทานได้ เพราะการใช้สารสกัดจากแปะก๊วยอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ปวดศีรษะ ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน กระสับกระส่าย หรือมีอาการแพ้ที่บริเวณผิวหนัง โดยมีรายงานชิ้นหนึ่งระบุไว้ว่า พบก้อนเลือดในเยื่อหุ้มสมองของผู้หญิงที่รับประทานสารสกัดใบแปะก๊วยวันละ 120 มิลลิกรัม เป็นประจำทุกวันติดต่อกันเป็นเวลานาน


ได้ทราบกันแบบนี้แล้ว ก็อย่ามัวแต่หลงใหลกับคุณประโยชน์มากมายของแปะก๊วยกันเกินไป ควรตระหนักถึงผลข้างเคียงด้วย เพื่อที่เราจะได้ใช้เจ้าสมุนไพรนี้ได้อย่างเหมาะสมและดีต่อสุขภาพ วันนี้เราจึงมีเมนูมานำเสนอค่ะ เป็นเมนูที่หน้าตาน่าทาน รสชาติอร่อยแล้วยังได้ประโยชน์จากแปะก๊วยอีกด้วยค่ะ นั่นก็คือเมนู กุ้งหลงรังค่ะ เมนูนี้นับได้ว่าเป็นเมนูสุดพิเศษของร้านเดอะโฮมเลยค่ะ เป็นเมนูที่นำกุ้งมาผัดรวมกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ พุทราจีน แปะก๊วย พริกหวาน คลุกเค้ากับเครื่องเทศชั้นดี เสริฟมาในเผือกฝอยที่ได้ร้อยเรียงเป็นกระทงแล้วนำมาทอดเป็นลักษณะคล้ายชามใส่อาหาร รสชาติอร่อย กลมกล่อม บวกกับความหอมและความกรอบของกระทงเผือกทอด น่าทานแบบนี้พลาดไม่ได้แล้วนะคะ ที่ร้านเดอะโฮม อุบล ที่เดียวค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ฟักทองผักสีเหลืองที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์


หนึ่งในผักสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหารอยู่บ่อย ๆ ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะฟักทองสามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ฟักทองจะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน

แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก "ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง" มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลยค่ะ

ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ

👉เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

👉เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


👉ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ

👉ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

👉เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ

👉 ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

👉เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้

ฟักทอง อาหารเพื่อคุณผู้หญิง

และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ "ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก

นอกจากนี้ สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้ว

ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"

เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ผัก ผลไม้ นั้นมีคุณประโยชน์ ที่จะทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นได้


ต้องยอมรับเลยว่าที่เราเจ็บป่วย หรือไม่สบายง่าย ส่วนหนึ่งมาจากการกินอาหารหวาน มัน เค็ม จนทำให้ภูมิต้านทานลดลง แถมยังทานผัก ผลไม้ น้อยลงอีกด้วย คุณรู้หรือเปล่าว่า ใน ผัก ผลไม้ นั้นมีคุณประโยชน์ชั้นเริ่ด ที่จะทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นได้ เราควรหันมากินผักผลไม้สด ธัญพืชที่ไม่ขัดสี ที่ผ่านการแปรรูปและดัดแปลงน้อยที่สุด อุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์ เอนไซม์ กากใย พรีไบโอติกส์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะได้จากผัก ผลไม้ และธัญพืชเท่านั้น แถมยังช่วยต้านการอักเสบ มีผิวพรรณสดใส ชะลอวัย ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และดูแลปรับสมดุลในระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย


ไฟเบอร์ ดีอย่างไร..?

ไฟเบอร์ หรือใยอาหาร เป็นส่วนประกอบของพืช ที่พบใน ธัญพืช ผัก ผลไม้ ถั่วเมล็ดแห้ง ช่วยให้ระบบขับถ่ายมีการขับถ่ายของเสียอย่างง่ายดาย ปัดกวาดลำไส้ให้สะอาด ลดการเกิดโรคระบบทางเดินอาหาร ดักจับสารพิษต่างๆ มีช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ช่วยรักษาป้องกันอาการท้องผูก ทำให้เยื่อบุผิวของลำใส้แข็งแรง ป้องกันมะเร็งลำใส้ ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต ของแบคที่เรียตัวที่ดีในลำใส้ใหญ่ จะเห็นได้ว่าไฟเบอร์ในผักผลไม้ มีผลดีต่อร่างกายเรามากทีเดียว ดังนั้นการกินผักผลไม้ จึงปกป้องเราให้ห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้องรัง จำพวก หัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองตีบ ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ ฯลฯ

ใยอาหาร แบ่งออกได้ 2 ประเภท

เส้นใยที่ละลายน้ำได้ (soluble fiber) ปนอยู่กับส่วนที่เป็นแป้งในพืช ในผักและผลไม้เกือบทุกชนิด และพืชตระกูลถั่ว ข้าวโอ็ต รำข้าวโอ็ต และข้าวบาร์เลย์ เป็นต้น

เส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ (insoluble fiber) พบมากในอาหารประเภทธัญพืช เช่น ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ข้าวโพด ข้าวสาลี รำข้าวสาลีรำข้าวเจ้า พืชตระกูลถั่ว ถั่วเปลือกแห้งและผักต่างๆ

ผักผลไม้อะไรให้ไฟเบอร์สูง

1. ถั่ว (Nut) เช่น ถั่งแดง ถั่วเขียว ถั่วลิสง เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง

2. ธัญพืช (Grain) ธัญพืชไม่ขัดสีทุกชนิด ข้าวกล้องดอย ข้าวหอมนิล ข้าวสินเหล็ก

3. ผัก (Vegetable) แครอท ข้าวโพด บล็อคโคลี ผักโขม

4. ผลไม้(Fruit) มะละกอ กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล อะโวคาโด ฝรั่ง มะม่วง

การกินผักผลไม้ที่ปลอดภัยอย่างน้อยวันละ 400 กรัม ซึ่งเท่ากับ ผัก 3 ส่วน ผลไม้ 2 ส่วน หรือไม่ต่ำกว่า 5 ทัพพี (วัดง่ายๆ คือ 1 อุ้งมือ เท่ากับ 1 ทัพพี) จะทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรง ห่างไกลโรคต่างๆ แต่ผักผลไม้ในปัจจุบันนั้นมาจากหลากหลายที่ ซึ่งไม่อาจรู้แหล่งที่มา การล้างผักผลไม้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะช่วยลดสารเคมีตกค้างได้


ล้างผักอย่างไรให้ถูกต้อง

การล้างผักสามารถล้างได้หลายวิธีด้วยกัน คือ

1.น้ำส้มสายชู ใช้ 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ลดสารพิษตกค้างได้ 60-84%

2.แช่ในน้ำที่ผสมด้วยผงฟู (Baking powder) โดยใส่ครึ่งช้อนโต๊ะต่อน้ำเปล่า 10 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ลดสารพิษตกค้างได้ 90-95%

3.น้ำก๊อกไหลผ่าน โดยนำผักผลไม้ใส่ในตระกร้าหรือตระแกรง แล้วเปิดน้ำไหลด้วยความแรงพอประมาณ นาน 2 นาที ช่วยลดสารตกค้างได้ 25-65%

รู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมหันมาทานผักและผลไม้กันเยอะๆ นะคะ เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของเราเอง อย่าลืมสิว่า สุขภาพดีๆ ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ เราก็ต้องเป็นคนสร้างขึ้นมาเองนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

หอมแดง สมุนไพรคุณค่าสูง ดูแลสุขภาพ


"หอมแดง" (Shallot) เป็นผัก สมุนไพรที่เรากินกันอยู่เป็นประจำ เพราะคนไทยนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงอาหาร อีกทั้งเป็นเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้ในเครื่องแกงเผ็ด และแกงประเภทอื่นๆ หรือแม้แต่ซอยบางๆ ใส่ในไข่เจียวก็อร่อย จะใส่เป็นเครื่องปรุงของน้ำซุปก็หอมหวนชวนกิน หรือใส่เป็นส่วนผสมในน้ำพริกได้หลากหลาย เป็นต้น เพราะฉะนั้นใครที่ได้กินหอมแดงเป็นประจำ ก็เท่ากับได้รับยาบำรุงสุขภาพอยู่เสมอ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น...มารู้คำตอบใน สรรพคุณและประโยชน์ของหอมแดง ของดีในครัวที่ดี๊ดีต่อสุขภาพกันเถอะ

หอมแดง...สรรพคุณทางยา คุณค่าสูง ดูแลสุขภาพ


การกินหอมแดงนั้นไม่มีอันตรายใดๆ แต่กลับจะมีผลดีต่อสุขภาพเสียมากกว่า เนื่องจากหอมแดงอุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารสูงและมีประโยชน์ต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยในหอมแดงมีทั้งน้ำ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก น้ำตาลหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย และให้พลังงานถึง 50-60 แคลอรี ต่อหอมแดง 100 กรัม


ในหอมแดงยังมีสารเคมีสำคัญต่อร่างกาย อาทิ ไดอัลลิน ไตรซัลไฟต์ เคอร์ซิติน ฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ เพกติน ลูโคคินิน และน้ำมันหอมระเหย หอมแดงจึงมีความสามารถในการยับยั้งการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และแบคทีเรีย ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจชนิดเส้นเลือดมาเลี้ยงหัวใจอุดตัน ช่วยลดไขมันในเลือด รักษาระดับน้ำตาลในเลือด หอมแดงมีสรรพคุณบรรเทาอาการอักเสบ และมีส่วนสำคัญในการช่วยควบคุมความดันโลหิต

สรรพคุณทางยาของหอมแดงยังช่วยบำรุงสมอง ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ระบบการเผาผลาญทำงานดี มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกาย ด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีมากในหอมแดง หรือหากมีอาการคัดจมูก หายใจไม่สะดวก หอมแดงก็ช่วยได้ แถมช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และแก้ไข้ได้เป็นอย่างดี


ด้วยความหลากหลายของตัวยาในหอมแดง ส่งผลให้มีสรรพคุณมากตามไปด้วย ข้อมูลจากสถาบันอภัยภูเบศรกล่าวถึงวิธีใช้ประโยชน์ของหอมแดงไว้ดังนี้

ไข้หวัด แก้หวัดคัดจมูก และช่วยลดน้ำมูก

ใช้หัวเล็กปอกเปลือกทุบพอแตก ห่อผ้าบางๆ วางไว้ตรงหัวนอน เพื่อให้กลิ่นหัวหอมเข้าจมูก ช่วยทำให้จมูกโล่ง สามารถบรรทาอาการหวัดได้ (วางไว้เวลาเด็กหลับ )

บรรเทาอาการท้องเดิน ท้องอืด/แน่น ขับลม

นำมาซอยเป็นแว่น ต้มเอาน้ำดื่ม


โรคหืดหอบ ไอเรื้อรั้ง

ใช้หัวหอมขนาดประมาณหัวแม่มือ ใส่ขิงและกระเทียม ผสมน้ำ 1 แก้ว แล้วปั่นกรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 2-3 ลูก ดื่มวันละ 1 แก้ว หลังแปรงฝันเสร็จ อาการหอบหืดจะค่อยๆ ดีขึ้น

แก้ผื่นคัน ลดการอักเสบ

หอมแดงหัวเล็ก 4-5 หัว ตำให้แหลก คั้นเอาน้ำ แล้วนำไปแช่ตู้เย็น 30 นาที จากนั้นนำมาทาบริเวณที่เป็นเม็ดผดผื่น

รักษาสิวและลดรอยด่างดำ

หอมแดงหัวเล็ก 4-5 หัว ล้างให้สะอาดแล้วนำมาย่างไฟ หรือฝานบางๆ ใช้แปะไว้บริเวณที่เป็นสิวหรือรอยด่างดำบนใบหน้ายกเว้นรอบดวงตา และปลายจมูก เพราะอาจเกิดการระคายเคืองจากกำมะถันในน้ำหอมแดง ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก ทำทุกวันประมาณ 1 สัปดาห์ รอยด่างดำจะค่อยๆ จางลง

จะกินไข่ให้ฉลาด...ต้องฉลาดกินไข่

คนไทย บริโภค ไข่ ต่อคนต่อปีต่อปีน้อยกว่าคนมาเลเซียและสิงคโปร์เพื่อนบ้าน นอกจากเพราะรายได้ที่น้อยกว่า ส่วนหนึ่งมาจากข้อมูลที่ทำให้เกิดความเ...