วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

จะกินไข่ให้ฉลาด...ต้องฉลาดกินไข่


คนไทยบริโภคไข่ต่อคนต่อปีต่อปีน้อยกว่าคนมาเลเซียและสิงคโปร์เพื่อนบ้าน นอกจากเพราะรายได้ที่น้อยกว่า ส่วนหนึ่งมาจากข้อมูลที่ทำให้เกิดความเชื่อมากขึ้นว่า กินไข่มากไม่ดี ทั้งที่ไข่เป็นแหล่งโปรตีนและวิตามิน นั่นคือสาเหตุว่าจะกินไข่ให้ฉลาด ต้องฉลาดรู้เสียก่อนว่าไข่ดีอย่างไรและควรกินอย่างไร

ประโยชน์ของไข่
ไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่า หาได้ง่าย และเหมาะสมสำหรับทุกเพศ ทุกวัย นอกจากไข่จะให้สารอาหารประเภทโปรตีนที่สมบูรณ์แล้ว ยังมีไขมัน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินบี 12 วิตามินเอ วิตามินดีและเลซิตินที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย

กินไข่เท่าไรดี
การปรุงอาหารประเภทไข่ก็ทำได้ง่ายและหลากหลายสารพัดเมนู แต่คนต่ละช่วงวัยควรรับประทานไข่ในริมาณต่างกัน

โดยเด็กตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปจนถึงวัยเรียนกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง ส่วนผู้ใหญ่ที่มีภาวะโภชนาการปกติควรกินไข่ 3-5 ฟองต่อสัปดาห์ และหากเป็นกลุ่มที่มีโคเลสเตอรอลสูง อาจกินได้สัปดาห์ละ 1-2 ฟอง หรือกินแต่ไข่ขาว หรือตามคำแนะนำของแพทย์

ทั้งนี้แพทย์ยืนยันว่า การกินไข่อย่างฉลาดเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่มีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ไม่เป็นการเพิ่มสารอาหารที่ก่อให้เกิดโรคทางโภชนาการนั้น

ผู้บริโภคควรกินไข่ควบคู่กับอาหารที่หลากหลายในแต่ละมื้อ โดยให้มีอาหารประเภทแป้ง ธัญพืช เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยกากใยอาหารที่ได้รับจากการกินผักและผลไม้จะช่วยดูดซับไขมันบางส่วนที่อยู่ในอาหารออกจากร่างกาย ทำให้ไม่เกิดการสะสมที่อาจส่งผลทำให้เกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือดตามมาด้วย

ที่สำคัญ จำไว้ว่าการหลีกเลี่ยงโคเลสเตอรอลสูงไม่ได้อยู่ที่การลดหรืองดกินไข่ แต่ผู้บริโภคต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดไขมันส่วนเกินและควบคุมระดับโคเลสเตอรอลให้เป็นปกติ และยังไม่มีงานวิจัยชิ้นใดที่ระบุว่าไข่ คือสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด

ไข่จึงเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายตั้งแต่วัยทารกจนถึงผู้สูงอายุ เพียงแต่เราต้องรู้จักกินให้เป็นก็จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายเช่นเดียวกับอาหารชนิดอื่นๆ คือ ข้าว ปลา เนื้อหมู ผัก ผลไม้ ถ้ากินไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม มากไปหรือน้อยไป ก็เกิดผลเสียต่อร่างกายเหมือนกัน

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

หญ้าหวานใช่แทนน้ำตาลไม่ทำให้อ้วน


หญ้าหวาน คือสมุนไพรชนิดหนึ่ง เป็นพืชล้มลุกมีลักษณะคล้ายต้นใบกะเพรา ใบสมุนไพรหญ้าหวานมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเฉกเช่นเดียวกับในใบชาเขียวแต่มีมากกว่าคือรสหวานจัด ตัวใบจะให้รสหวานกว่าน้ำตาล 15-20 เท่า แต่เมื่อนำใบมาสกัดจะให้ความหวานสูงถึง 250 เท่าของน้ำตาลทรายแต่ไม่ให้พลังงาน จึงเป็นที่นิยมในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีที่ผู้คนนิยมบริโภคแต่อาหารที่ดีต่อสุขภาพ จึงมีการนำสารสกัดจากสมุนไพรหญ้าหวานมาใช้แทนน้ำตาลหรือทดแทนน้ำตาลบางส่วนมากว่า 35 ปีแล้วทั้งในอาหารและเครื่องดื่มได้แก่ น้ำชาเขียว น้ำอัดลม ขนมเบเกอรี่ ไอศกรีม แยม เยลลี่ ซอสปรุงรส ลูกอม หมากฝรั่ง และอื่นๆ

แต่น่าเสียดายที่คนไทยไร้โอกาสกับหญ้าหวาน. ไม่มีหน่วยงานใดมาส่งเสริมทั้งๆ ที่ อเมริกา ญี่ปุ่นก็ใช้หญ้าหวานให้ความหวาน แต่คนไทยกลับใช้น้ำตาลเทียมหรือสารหวานสังเคราะห์ยี่ห้อดังๆ ทั้งที่ต่างประเทศเค้าก็เลิกใช้กันแล้ว. แม้ไม่มีงานวิจัยสนับสนุนในเรื่องหญ้าหวานมาก. แต่ความหวานจากธรรมชาติก็น่าจะปลอดภัยกว่าความหวานทางเคมีสังเคราะห์ ในหญ้าหวานมีสารกลัยโคซัยด์(glycoside) 88 ชนิด สารสำคัญคือ Rcbaudiosides A,B,C,D,E ; Dulcoside A และ Steviosides สาร Steviosides ซึ่งเป็นสารให้ความหวานคล้ายคลึงกับน้ำตาลทรายมาก โดยปริมาณสูงสุดในหญ้าหวานทั่วไปและเป็นสารที่มีรสหวานจัดจะมีความหวาน ประมาณ 300 เท่าของน้ำตาลซูโครส

ประเทศไทย ได้มีการนำหญ้าหวานมาทดลองปลูกในเมืองไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 โชคดีที่ต้นหญ้าหวานเจริญงอกงามดีในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศซึ่งมีความเหมาะสมมาก อากาศเย็น การปลูกหญ้าหวานให้ผลผลิตสารรสหวานสตีวิโอไซต์ได้ดีมาก ขึงเผยแพร่การปลูกกันมากที่ภาคเหนือเท่านั้น ใบของมันนำมาตากแห้งและชงทำเป็นชาหรือเครื่องดื่มสมุนไพรและอาจนำมาผสมเครื่องดื่มรสหวานทั่วไป. คนไทยกินหญ้าหวาน 2 แบบ แบบสมุนไพรที่มีการนำใบหญ้าหวานผสมกับสมุนไพรอื่นๆ เพื่อเพิ่มรสหวานในชาสมุนไพรหรือยาชงสมุนไพร และแทนน้ำตาลในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน

หญ้าหวานและสารสกัดสตีวิโอไซด์ ไม่ให้พลังงานสะสมแก่ร่างกาย ไม่ทำให้อ้วนและไม่กลายเป็นสารไขมัน ไม่มีผลกระทบทางชีวภาพต่อหนูทดลอง. แม้จะให้สัตว์กินในปริมาณที่สูงมาก็ไม่มีความเป็นพิษทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรังต่อสัตว์ทดลอง ทางระบาดวิทยายังไม่เคยมีรายงานการป่วยหรือสุขภาพไม่สบายที่เกิดจากการบริโภคหญ้าหวานเป็นประจำแต่ประการใด ในทางตรงกันข้าม แพทย์ผู้ใช้หลายคนยอมรับว่าหญ้าหวานได้ช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยแก่ผู้ที่ต้องงดหรือหลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำตาลซึ่งแสลงต่อโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคไขมันเกินในเส้นเลือดได้ เพราะการรับสารความหวานจากหญ้าหวานในรูปแบบของชา หรือผสมเครื่องดื่มทดแทนการบริโภคน้ำตาลทราย จะไม่ส่งผลต่อการเกิดสภาวะความรุนแรงของโรคเบาหวาน












ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://www.yawangreensweet.com/customize_0_27761_TH.html3

จะกินไข่ให้ฉลาด...ต้องฉลาดกินไข่

คนไทย บริโภค ไข่ ต่อคนต่อปีต่อปีน้อยกว่าคนมาเลเซียและสิงคโปร์เพื่อนบ้าน นอกจากเพราะรายได้ที่น้อยกว่า ส่วนหนึ่งมาจากข้อมูลที่ทำให้เกิดความเ...